Monday, August 17, 2009

รู้สาเหตุ และ วิธีพิชิตโรคภูมิแพ้

โรคภูมิแพ้ คือโรคที่เกิดจากปฏิกิริยาภูมิไวเกินต่อสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งในคนปกติไม่มีปฏิกิริยานี้เกิดขึ้น ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ มีปฏิกิริยาภูมิไวเกินต่อ ฝุ่น ตัวไรฝุ่น เชื้อราในอากาศ อาหาร ขนสัตว์ เกสรดอกไม้ เป็นต้น สารที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาภูมิไวเกินนี้เรียกว่า 'สารก่อภูมิแพ้' โรคภูมิแพ้ สามารถแบ่งได้ตามอวัยวะที่เกิดโรคได้เป็น
4 โรคคือ
-โรคโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ หรือโรคแพ้อากาศ
-โรคตาอักเสบจากภูมิแพ้
-โรคหอบหืด
-โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง

โรค ภูมิแพ้ จัด เป็นโรคที่พบบ่อยโรคหนึ่งในประเทศไทย จากการศึกษาอัตราความชุกของโรคในประเทศไทย มีอัตราความชุกอยู่ระหว่าง 15-45 % โดยประมาณ โดยพบโรคโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ มีอัตราชุกสูงสุดในกลุ่มโรคภูมิแพ้ นั่นหมายความว่า ประชากรเกือบครึ่งหนึ่งของประเทศ มีปัญหาเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้อยู่

โรคภูมิแพ้ เป็นโรคที่มีการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์
โรค ภูมิแพ้สามารถ ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ คือถ่ายทอดจากพ่อและแม่ มาสู่ลูก เหมือนภาวะอื่นๆ เช่น หัวล้าน ความสูง สีของตา เป็นต้น ในทางตรงกันข้าม แม้ว่าพ่อแม่ของคุณเป็นโรคภูมิแพ้ คุณอาจจะไม่มีอาการใดๆเลยก็ได้

โดย ปกติ ถ้าพ่อหรือแม่ คนใดคนหนึ่งเป็นโรคภูมิแพ้ ลูกจะมีโอกาศเป็นโรคภูมิแพ้ประมาณ 25 % แต่ถ้าทั้งคุณพ่อและคุณแม่เป็นโรคภูมิแพ้ทั้งคู่ ลูกที่เกิดออกมามีโอกาศเป็นโรคภูมิแพ้สูงถึง 66 % โดยเฉพาะ โรคโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ จะมีอัตราการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์สูงที่สุด

ถ้า คุณ ได้รับการถ่ายทอดโรคภูมิแพ้ทางกรรมพันธุ์จากพ่อแม่ของคุณ แต่ไม่เคยสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ คุณก็จะไม่มีอาการของโรคภูมิแพ้ คุณจะต้องได้รับสารก่อภูมิแพ้ ที่สามารถกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาภูมิไวเกินในร่างกายของคุณ การได้รับสารก่อภูมิแพ้ จะต้องได้รับปริมาณมากพอ และนานพอ ที่จะกระตุ้นให้ร่างกายคุณเกิดปฏิกิริยาดังกล่าว จึงทำให้เกิดอาการของโรคภูมิแพ้ขึ้น อาการของคุณจะเป็นมากขึ้น เมื่อภูมิต้านทานลดต่ำลง เช่นในขณะที่คุณเข้าสู่วัยรุ่น การติดเชื้อในบริเวณต่างๆ การตั้งครรภ์ เป็นต้น

เนื่องจากเกิดโรคภูมิแพ้เป็นจำนวนมากจึงได้มีการวิจัยหาสาเหตุของโรคภูมิแพ้

* กรรมพันธุ์ ผู้ที่มีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัว เช่นพ่อแม่ พี่น้อง ก็จะเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าจะเป็นโรคภูมิแพ้ได้ง่าย เด็กชายเป็นมากกว่าเด็กหญิงหากพ่อหรือแม่เป็นโรคภูมิแพ้เด็กจะเป็นภูมิแพ้ ได้ร้อยละ 30 แต่หากทั้งพ่อและแม่เป็นภูมิแพ้เด็กจะมีโอกาศเป็นโรคภูมิแพ้ร้อยละ 50-60
* สิ่งแวดล้อมของเด็กในขวบปีแรกสำคัญมาก การสัมผัสควันบุหรี่ ไรฝุ่น เกสรดอกไม้ สะเก็ดรังแคสัตว์ การใช้ยาปฏิชีวนะ การรับประทานอาหารสำเร็จรูป เหล่านี้จะทำให้เกิดโรคภูมิแพ้
* การติดเชื้อไวรัสในวัยเด็ก การที่มีเชื้อ lactobacillus ในลำไส้หรือการอาศัยใกล้ฟาร์มสัตว์จะลดอุบัติการณ์ของภูมิแพ้

การ หลีกเลี่ยงหรือนำสิ่งที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ออกจากสิ่งแวดล้อมใกล้ตัวเป็นการ รักษาที่สำคัญที่สุดในการรักษาโรคภูมิแพ้ ซึ่งจะทำให้ลดอาการของโรคภูมิแพ้และลดปริมาณการใช้ยา

ทำไมคนในเมืองถึงเป็นโรคภูมิแพ้มากขึ้น

พบว่าปัจจัยที่สำคัญคือการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมจากสังคมชนบทเป็นสังคมเมือง

* คนในเมืองอยู่บ้านมาก ติดเครื่องปรับอากาศ ไม่ออกกำลังกายทำให้ร่างกายอ่อนแอ เกิดการติดเชื้อได้ง่าย
* เด็กกินนมแม่น้อยลง คนรับประธานอาหารจานด่วนมาก ทำให้ได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน และได้รับสิ่งแปลกปลอมเข้ามามาก เช่น สี สารกันบูด
* คนนิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงในบ้านเพิ่ม
* การตกแต่งบ้าน ติดตั้งพรมและติดเครื่องปรับอากาศทำให้อากาศถ่ายเทไม่ดี เชื้อไรฝุ่นเจริญได้ดี
* มลภาวะจากอุตสาหกรรม และการจราจร
* การสูบบุหรี่

สารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ในบ้าน

สาร ก่อโรคภูมิแพ้ในบ้านจะพบได้ตลอดปีและเป็นสาเหตุสำคัญในการเกิดโรค ภูมิแพ้คัดจมูก โรคหอบหืด ผื่นแพ้ eczema สารก่อภูมิแพ้ในบ้านที่สำคัญได้แก่

* ไรฝุ่นพบมากบนที่นอน โซฟา
* สะเก็ดรังแคสัตว์ น้ำลาย และเหงื่อของสัตว์เลี้ยง
* ขนนก ของเสียแมลงสาบ รา

วิธีป้องกันสารก่อภูมิแพ้ในบ้าน

* เปิดหน้าต่างให้เกิดการถ่ายเทของอากาศ โดยเฉพาะห้องครัว ห้องน้ำโดยเปิดหน้าต่างอย่างน้อยครั้งละ 1 ชั่วโมงเปิดวันละสองครั้งหากแพ้เกสรควรปิดหน้าต่างโดยเฉพาะช่วงที่มี เกสรดอกไม้มาก
* ไม่ควรตากผ้าในห้องนอนและห้องนั่งแล่น
* ถ้าห้องมีความชื้นมากให้เปิดให้อาการถ่ายเทให้มาก

พญ.ลลิตา ธีระสิริ แห่งศูนย์ธรรมชาติบำบัดบัลวี ผู้เชี่ยวชาญการบำบัดอาการภูมิแพ้แบบไม่ใช้ยาด้วยการแพทย์ทางเลือก กล่าวถึงสถานการณ์และจำนวนที่เพิ่มขึ้นของผู้ที่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้และการดูแลตัวเองแบบง่ายๆ ที่จะช่วยเยียวยาอาการภูมิแพ้ให้ น้อยลงด้วยตัวเองว่า จากข้อมูลล่าสุดที่เคยมีผู้เก็บสถิติไว้ในปี พ.ศ.2538 พบว่ามีคนไทยที่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้และไปพบแพทย์ทั้งหมด 13 ล้านคน ไม่นับผู้ที่ซื้อยากินเองตามอาการและผู้ที่ทนโดยไม่ไปพบแพทย์และไม่ซื้อยา กินเองซึ่งมีอีกจำนวนไม่น้อย

“ปีที่แล้วโรงพยาบาลศิริราชออกมาให้ข้อมูลว่าจะมีผู้ป่วยเด็กโรคภูมิแพ้มากขึ้นถึงปีละ 60,000 ราย ถามว่าทำไมเราจึงพบเด็กที่ป่วยด้วยโรคภูมิแพ้ตั้งแต่ ยังเด็กๆ คำตอบก็คือ เด็กจะเริ่มเป็นโรคภูมิแพ้หลังจากเลิกกินนมแม่และหันมากินนมวัว รวมถึงอาหารอย่างอื่น ซึ่งเหล่านี้อาจจะมีสารอย่างใดอย่างหนึ่งที่ทำให้แพ้ได้”

พญ.ลลิตา อธิบายอาการของโรคภูมิแพ้ ว่า ผู้ป่วยจะมีอาการคันมากในคอ คันตา และคันผิวหนัง น้ำมูกไหล หายใจไม่ออก ไม่ได้กลิ่น จมูกตัน ปวดหนักศีรษะ ไอ น้ำตาไหล นอนกรน ซึ่งแม้ว่าผู้ป่วยบางรายอาจจะหายไปเองเมื่อโตขึ้น แต่ก็มีประมาณ 30% ที่ไม่หายและต้องทุกข์ทรมานด้วยอาการนี้ไปตลอดชีวิต และที่สำคัญคือ หากเลือกที่จะรักษาโรคนี้ด้วยยาแผนปัจจุบัน ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นยาสเตียรอยด์นั้น ก็จำเป็นจะต้องกินยาไปตลอดชีวิต ซึ่งสารตกค้างและผลข้างเคียงก็อาจจะส่งผลร้ายต่อร่างกายในระยะยาวด้วย

การปฏิบัติตัวเมื่อเป็นโรคภูมิแพ้

* ไม่เลี้ยงสัตว์ที่มีขนไว้ในบ้านโดยเฉพาะในห้องนอน
* ไม่ควรตกแต่งห้องนอนด้วยพรม หรือมีตุกตา มั่นเช็ดฝุ่นบ่อยๆ
* ห้องนอนไม่ควรจะมีชั้น หรือหนังสือ
* เครื่องนอนควรจะซักและต้มสัปดาห์ละครั้ง
* งดบุหรี่ หรือทาสีในบ้าน
* หมั่นทำความสะอาด และดูดฝุ่นบ้านและม่านกันแดด
* กำจัดเศษอาหารให้มิดชิดเพื่อป้องกันแมลงสาบ

ด้วยความปรารถนาดีจาก B-Swan ผู้นำเข้า

Tuesday, August 11, 2009

Cancer Observation


วิธีสังเกตอาการเบื้องต้นของมะเร็งชนิด ต่างๆ

อาการของ การเกิดมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย
1. มะเร็งปากมดลูก อาการ มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุณอาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศ สัมพันธ์ หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น การตรวจโดยขูด เนื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะรู้ ได้

2. มะเร็งในมดลูก อาการ มีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อหรือมีอาการบวมในช่องท้อง

3. มะเร็งรังไข่ อาการ ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศสัมพันธ์ มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการปวดหลัง

4. มะเร็งในเม็ดเลือด ( ลูคีเมีย) อาการเหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติมักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุและมักจะเกิดร่วมกับอาการปวดตามข้อต่าง ๆ ทั่วร่างกายบางครั้งจะท้องอืดและเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของ ช่องท้อง

5. มะเร็งปอด อาการ มักมีอาการไอบ่อย ๆ มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลายน้ำ หนักลดอย่างฮวบฮาบ เจ็บ หน้าอกและหายใจลำบากหรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

6. มะเร็งตับ อาการปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลดตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็นได้ชัด

7. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อาการ มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ

8. มะเร็งสมอง อาการ ปวดศีรษะนาน ๆ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่นอาเจียนหรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่า และเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือ การเป็นลมโดยกะทันหันอวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงานเช่นมีอาการชาและเป็น อัมพาตชั่วคราวควรให้ความระวังเป็นพิเศษหากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มีอาการ เหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย

9. มะเร็งในช่องปาก อาการ มีก้อนบวมอยู่ในปาก หรือทีลิ้นเป็นเวลานานมีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษา หรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือกเนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำหรือ เป็นเวลานาน

10. มะเร็งในลำคอ อาการ เสียงแหบพร่าไปทันที มีก้อนบวมในทันทีทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบาก หรือมีการขยายตัวของต่อมในลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึก ได้

11. มะเร็งในกระเพาะอาหาร อาการน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วอาเจียนออกมาเป็นเลือดท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อย บ่อย รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้องหรือรู้สึกตื้อ แม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ

12. มะเร็งทรวงอก อาการมีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนมบวมหรือผิวเนื้อทรวงอกหนา ขึ้นมีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิด ขึ้น ที่เต้านมเป็นเวลานานควรระวังเพราะผู้หญิง 9 ใน 10 คนจะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอกโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียกว่า ซีสต์ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อนว่าคืออะไรกัน แน่

13. มะเร็งลำไส้ อาการ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วมีอาการปวดท้องอย่างมากและระบบการย่อยผิดปกติ มีเลือดออกปนมากับอุจจาระ **** ซึ่ง มีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้วคือถ้าใช้กระดาษทิชชูซับแล้วเลือดมีสีแดงสดนั่นคืออาการของริดสีดวงทวารแต่ถ้าเลือดมีสีดำคล้ำนั่น คือ อาการของโรคมะเร็งในลำไส้

14. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง อาการมีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้ เกิดอาการติดเชื้อในบาง ส่วนของร่างกายมะเร็งผิวหนัง อาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานานตลอดจนไฝ หรือหูดที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่าง ขนาด นอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่ เรียกว่า\เมลาโนมา ( Melanoma ) คือ เนื้อ งอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น กระจุดด่างหรือไฝถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ดทั่วร่างกายหรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติ


สนับสนุนบทความดีๆ จาำก Bio Deen Spray เพิ่ม Growth Hormone

Saturday, August 08, 2009

ปัญหาผมร่วงแก้ไขได้

Hair is... ผมคืออะไร…
เส้นผมคนเรานอกจากจะทำหน้าที่หลักในการปกป้อง
หนังศีรษะไม่ให้ เสียความร้อน
มากเกินไป และ ป้องกันรังสีความร้อนของแสงแดดแล้ว
เส้นผมยังมีอีกบทบาทสำคัญ
ที่ช่วยทำให้ใบหน้าเราดูดี เพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเราเอง
และ มีส่วนเสริมให้บุคลิกเราดี
อีกด้วย

ฉะนั้นเราน่าที่จะเริ่มมาทำความรู้จักผมอย่างจริงจังกันดูสักที


เส้นผมและขนบนตัวคนแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท คือ

1. ขนลานูโก (Lanugo hair) - หรือ ขนเส้นเล็กๆบางๆ ที่พบบน
ตัวทารกที่ยังอยู่ ในครรภ์มารดาแล้ว จะร่วงหลุดออกประมาณ 4 สัปดาห์ก่อนคลอด
2. ขนเวลลัส (Vellus hair) - หรือ ขนสีอ่อน บางและสั้น เป็นขนที่อยู่บนตัวตามแขน
หรือบนใบหน้าของเรา
3. ขนเทอร์มินัล (Terminal hair) - หรือ ขนสีเข้ม หนาและยาว ซึ่งโดยปกติก็คือ
เส้นผมบนศรีษะของเรานั้นเอง


ส่วนประกอบหลักๆของผมประมาณ 65% - 95% คือ โปรตีนชื่อสารเคอราติน keratin
ที่ให้ความแข็งแรง
ส่วนที่เหลือจะเป็นสารประกอบอื่นๆ เช่น amino acid, ไขมัน, น้ำ และ เซลเม็ดสี
เพราะฉะนั้น
หากคุณต้องการให้ผมสวยและมีสุขภาพแข็งแรง ก็อย่าลืมรับประทานอาหารประเภทโปรตีน
เพื่อบำรุงเส้นผม
ส่วนลักษณะของผมจะหยิกหรือตรง แข็งหรือนิ่ม เส้นใหญ่หรือเล็ก มีสีสันเป็นอย่างไรนั้น
ก็ขึ้นอยู่กับพันธุกรรมของเผ่าพันธุ์ เชื้อชาติที่แต่ละบุคคล ได้รับมาจากบรรพบุรษของตนนั่นเอง

โดยประมาณผมบนศรีษะเราจะมีเฉลี่ยราว 80,000 - 120,000 เส้น
ในคนที่มีผมหนาอาจมีผมถึง 150,000 เส้นเลยทีเดียว เส้นผมแต่ละเส้นก็จะมีวงจร
(Hair Cycle) หรือ วัฏจักรในการงอก และหลุดร่วงอยู่ 3 ระยะด้วยกันอันได้แก่

1. ระยะแอนนาเจน (Anagen Phase) - เป็น ช่วงระยะเวลาที่ผมของเรางอกงามนั้นเอง
ซึ่งช่วงนี้จะมีระยะเวลายาวนานราว 3-7 ปีต่อเส้นโดยเฉลี่ย เช่น ในวันเด็กระยะแอนนาเจน
อาจจะยาวนาน 7 ปี
แต่พออายุมากขึ้นระยะแอนนาเจนก็จะน้อยลงเหลือ 5 ปี ถ้าร่างกายเข้าสู่วัยชราระยะแอนนาเจน
ของผมอาจจะเหลือเพียง 3 ปีเป็นต้น ในระยะนี้ผมของเราจะงอกเร็วประมาณ 1 เซนติเมตรต่อเดือน

2. ระยะคะทาเจน (Catagen Phase) - เป็นระยะหยุดงอก ในระยะนี้เส้นผมจะขาดอาหารมาเลี้ยง
ทำให้ต่อมผมหดเล็กลงและหยุดทำงานนานประมาณ 7-10 วัน

3. ระยะเทโลเจน (Telogen Phase) - หรือ ระยะพัก ซึ่งเมื่อผมพ้นจากระยะหยุดงอกแล้ว
ก็จะหลุดร่วงไปเข้าสู่ระยะพักซึ่งกินเวลาราว 3 เดือน โดยปกติแล้วผมประมาณ 10% จะอยู่ในระยะนี้
ในทุกๆขณะของชีวิตเราผมคนเราจึงร่วงไม่พร้อมกัน

และนี่จึงเป็นเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ที่ทำให้เราเข้าใจวงจรของผมมากขึ้น และ ทำให้เราเข้าใจว่า
ทำไมเราถึงต้องใช้เวลา ในการรักษาอาการผมร่วงผมบางนาน 3 เดือนขึ้นไปจึงจะเห็นผล
ก็เพราะเจ้าช่วงระยะพักนี่เองที่ใช้เวลานานถึง 3 เดือน

Hair Loss
ถึง แม้ว่าอาการผมร่วงผมบางจะไม่ได้เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่เชื่อได้ว่าถ้าวันหนึ่งวันใด
ที่เส้นผมของเราเกิดร่วงไปและไม่กลับขึ้นมาใหม่ จนกลายเป็นคนศีรษะล้าน หลายๆคนคงทำใจไม่ได้
อันเป็นอันตรายต่อจิตใจเป็นแน่แท้
อาการผมร่วงสังเกตุได้จากจำนวนเส้นผมที่หลุดร่วงในแต่ละวัน หากนับรวมกันเกิน 100 เส้นต่อวัน
ก็ถือว่าเข้าข่ายมีอาการผมร่วงได้แล้ว หากไม่มั่นใจว่าจะสามารถ เก็บเส้นผม ที่หลุดร่วงทั้งวันได้
ขอแนะนำเทคนิคในการตรวจสอบอีกวิธีหนึ่งคือ เทคนิคการดึงผม (hair pull)
โดยการหยิบเส้นผมของขึ้นมาหนึ่งกระจุกแล้ว
นับให้ได้ราว 60 เส้น ใช้นิ้วจับเส้นผมบริเวณโคนผม ให้พออยู่แล้วดึงรูดไปทางปลายผมช้าๆ
โดยไม่ต้องใช้แรงมาก ทำซ้ำในบริเวณศรีษะส่วนอื่นอีก 6 ครั้ง หากการดึงแต่ละครั้งมีเส้นผม
ร่วงหลุดติดมือมามากกว่า 6 เส้นแสดงว่าเข้าข่ายมีปัญหาผมร่วงเข้าแล้ว
ส่วนใหญ่จะพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง

อาการผมร่วงและศรีษะล้านแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่

1) อาการผมร่วงศรีษะล้านชั่วคราว
ผมร่วงและศีรษะล้านอา
จเกิดจากหลายสาเหตุ เช่นโรคของต่อมไทรอยด์ โรคโลหิตจาง
ภาวะหลังไข้สูง ๆ
การลดน้ำหนักตัวมาก ๆ ภาวะหลังคลอดบุตร ความเครียด การแพ้แชมพู ยาย้อมผมที่มีสารเคมี
รวมทั้งจากยากินบางชนิด ฯลฯ
แต่สาเหตุต่าง ๆ เหล่านี้ มักจะทำให้เส้นผมของเราร่วงเพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะเซลล์เส้นผมซึ่ง
อยู่ใต้หนังศีรษะมักจะยังไม่ตาย เมื่อพ้นช่วงเวลาดังกล่าวไป หรือต้นเหตุดังกล่าวหมดไป
เส้นผมก็มักจะกลับงอกมาใหม่ดังเดิม
สาเหตุของผมร่วงในกลุ่มนี้ แม้จะมีมากมายหลายสาเหตุ แต่กลับพบเป็นส่วนน้อย ประมาณ 5-10 %
ของสาเหตุที่ทำให้ผมร่วงเท่านั้น จึงขอยกตัวอย่างบางลักษณะอาการเท่านั้น

o ผมร่วงจากโรคเชื้อราที่หนังศีรษะ ลักษณะส่วนใหญ่ที่พบคือมีหย่อมผมร่วงบนศีรษะ
ซึ่งอาจจะมีหย่อมเดียวหรือ หลายหย่อมก็ได้ เส้นผมจะหักและหลุดร่วงเหลือเป็นต่อสั้นๆ หรือ
เห็นเป็นจุดดำเหลืออยู่ปากรูขุมขนหนังศีรษะมักจะเป็นขุย หรืออาจมีการอักเสบปรากฎให้เห็น
หากอาการรุนแรง จะมีตุ่มหนองเกิดขึ้นรอบขุมขนและ ลุกลามเป็นก้อนบวมแดงมีหนองหรือน้ำเหลืองได้
o ผมร่วงจากถอนผม ผู้ป่วยส่วนมากจะเป็นเด็กที่มีความเครียด หรือภาวะเก็บกดทางจิตใจ
และหาทางผ่อนคลายโดยการถอนผมตัวเอง ซึ่งอาจทำไปโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ได้ ลักษณะการร่วงจะ
ไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับความถนัดของผู้ป่วยว่าจะมีวิธีถอนอย่าง ไร วิธีการรักษาอาจต้องปรึกษาจิตแพทย์ร่วมด้วย
o ผมร่วงจากภาวะหลักการคลอดบุตร เนื่องจากมีการลดลงของ
ระดับฮอร์โมนหลักหรือ Growth Hormone จากการคลอดบุตรส่วนใหญ่
จะกลับขึ้นเป็นปกติหลังจาก 6 เดือนไปแล้ว
o ผมร่วงจากการรับยาบางชนิด เช่น จากยาเคมีบำบัดในรายที่เป็นโรคมะเร็ง แต่เมื่อหยุดยาแล้วเส้นผมจะ
งอกกลับมาดังเดิม

2) อาการผมร่วงศรีษะล้านถาวร เป็นอาการศีรษะล้านที่มีสาเหตุเกิดจากกรรมพันธุ์ ซึ่งเป็นสาเหตุ
ที่พบได้มากที่สุดถึง 90-95% ทีเดียว ศีรษะล้านจากกรรมพันธุ์มีลักษณะเฉพาะ ที่ไม่เหมือนกับ
ศีรษะล้านชนิดอื่น
ลักษณะการหลุดร่วงของเส้นผมจะมี pattern หรือ ลักษณะเฉพาะ ในการหลุดร่วง ที่แน่นอน
ซึ่งในทางการแพทย์เรียกว่า Male Pattern Hair Loss หรือเรียกสั้นๆว่า MPHL
สำหรับอาการที่เกิดในเพศชาย
ส่วนลักษณะอาการหลุดร่วงในเพศหญิงก็จะเรียกว่า Female Pattern Hair Loss นั้นเอง

เพียงใช้การสังเกตก็พอจะบอกได้ ส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องอาศัยการตรวจสภาพหนังศีรษะ
หรือวิเคราะห์เส้นผม
แต่ประการใด ในผู้ชายมักจะเริ่มจากการร่นถอยของแนวผมทางด้านหน้าเข้าไปเป็นง่าม
หรืออาจเถิกลึกเข้าไปตลอดทั้งแนว หรือ หัวเถิกนั่นเอง
ต่อมาจะเกิดศีรษะล้านด้านหลังตรงบริเวณขวัญที่หลายคนมักเรียกว่าไข่ดาว
ถ้าเป็นมากขึ้น ศีรษะล้านทางด้านหน้ากับด้านหลัง จะมาเชื่อมกัน จนกลายเป็นศีรษะล้านบริเวณกว้าง
แต่ในบางรายอาจมีผมร่วง ผมบางเฉพาะตรงกลางๆศีรษะเท่านั้น แต่แนวด้านหน้ายังดีอยู่

Why do men go bald? เราเคยสงสัยกันบ้างไหมว่าทำไมเราจึงมักเห็นแต่ผู้ชายหัวล้าน หัวเถิก
เดินกันขวักไขว้ไปมา ไม่ยักเห็นผู้หญิงหัวล้านกันบ้างเลย

เรื่องนี้มีคำตอบ
ทางการแพทย์
อย่างที่เราทราบกันแล้วว่าภาวะศีรษะล้านนั้นมาสาเหตุจาก
กรรมพันธุ์เป็นหลักถึงร้อยละ 90-95 แล้วทำไมถึงเห็น
แต่เกิดในผู้ชายหละ ในความจริงนั้นการแสดงอาการผมร่วงผมบางอัน
มีสาเหตุจาก พันธุกรรมนั้นจะเกิดขึ้นได้
จำเป็นต้องมีองค์ประกอบครบทั้ง 2 ส่วนด้วยกัน คือ

1.กรรมพันธุ์หรือยีนศีรษะล้าน ซึ่งได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ
2.ฮอร์โมนเพศชาย หรือ เทสโตเตอร์โรน (Testosterone, T)

ฮอร์โมนเพศชายนี้สร้างจากลูกอัณฑะ และต่อมหมวกไต
แล้วจึงเข้าสู่กระแสเลือดไหลเวียน ไปสู่ส่วน ต่างๆของร่างกาย รวมถึงที่หนังศีรษะด้วย
โดยบริเวณหนังศรีษะนี้เองที่ฮอร์โมนนี้จะถูกเปลี่ยนไปเป็น ฮอร์โมนเพศชายอีกตัวหนึ่ง ชื่อว่า
DHT (Dihydrotestosterone)
กระบวนการนี้ เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในผู้ชายทุกคน และเจ้า DHT ก็จะจับกับเซลล์เส้นผม
ซึ่งอยู่ใต้หนังศีรษะ และออกฤทธิ์ยับยั้ง กระบวนการสร้างเส้นผมทำให้เส้นผม
ที่ขึ้นมาใหม่(ทดแทนเส้นผมเดิมที่ร่วงไป) มีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ ตามอายุที่เพิ่มขึ้น
ต่อมาก็จะกลายเป็นผมเส้นอ่อนๆและตายไปในที่สุดจึงเกิด ภาวะผมบางและศีรษะล้าน
อย่างถาวร ตามมา

ผู้ชายทุกคนมีฮอร์โมนเพศชาย แต่ถ้าเขาไม่มียีนส์ศีรษะล้าน ศีรษะเขาก็จะไม่ล้าน
ในทำนองเดียวกัน
แม้ผู้ชายบางคนจะมียีนส์ศีรษะล้านในตัวเขา แต่ถ้าเขาไม่มีฮอร์โมนเพศชาย
(ผู้ชายที่ไปแปลงเพศ โดยการตัดลูกอัณฑะทิ้ง
ก่อนที่ศีรษะจะล้าน) ศีรษะเขาก็จะไม่ล้านเช่นกัน เพราะปัจจัย ที่ทำให้เกิดศีรษะล้านมีไม่ครบ

ดังนั้นผู้หญิงที่มียีนศีรษะล้านจึงไม่แสดงอาการ เพราะปัจจัยที่ทำให้เกิด
ศีรษะล้านมีไม่ครบนั้นเอง

ฉะนั้นความเชื่อที่ว่าศีรษะล้านถาวร เกิดจากเลือดไปเลี้ยงศีรษะน้อย
มีสิ่งสกปรกไปอุดตันรูขุมขน หนังศีรษะมัน
การสระผมบ่อย ๆ หรือการสวมหมวกตลอดเวลา ฯลฯ จึงเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง
ผู้ใช้แรงงานจำนวนมากที่ต้องทำงานกลางแดดกลางฝนท่ามกลางฝุ่นละอองบนท้องถนน
ก็ไม่พบว่ามีปัญหา ผมร่วง ศีรษะล้าน
มากกว่าคนทั่วไป

เอกสารอ้างอิง
1. อภิชาติ ศิวยาธร และคณะ (2545). Alopecia ในตจวิทยาทันยุค; 195-200.
ภาคตจวิทยา คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล
2. นพ.ดำเกิง ปฐมวาณิชย์ ในหนังสือผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้าน

Wednesday, August 05, 2009

Basil leaves v.s. swine flu


Tulsi (Tulsi means Basil leaves กระเพรา) can help keep swine flu away: Ayurvedic experts

LUCKNOW : Wonder herb Tulsi can not only keep the dreaded swine flu at bay but also help in fast recovery of an afflicted person, Ayurvedic practitioners claim.

"The anti-flu property of Tulsi has been discovered by medical experts across the world quite recently. Tulsi improves the body's overall defence mechanism including its ability to fight viral diseases. It was successfully used in combating Japanese Encephalitis and the same theory applies to swine flu," Dr U K Tiwari, a herbal medicine practitioner says.

Apart from acting as a preventive medicine in case of swine flu, Tulsi can help the patient recover faster.

"Even when a person has already contracted swine flu, Tulsi can help in speeding up the recovery process and also help in strengthening the immune system of the body," he claims.

Dr Bhupesh Patel, a lecturer at Gujarat Ayurved University , Jamnagar is also of the view that Tulsi can play an important role in controlling swine flu.

"Tulsi can control swine flu and it should be taken in fresh form. Juice or paste of at least 20-25 medium sized leaves should be consumed twice a day on an empty stomach."

“This increases the resistance of the body and, thereby, reduces the chances of inviting swine flu," believes Patel.

When asked as to what extent Tulsi should be used in treating swine flu, the lecturer said, "It all depends upon the intensity of the disease. And the dose is administered accordingly."

Dr Narendra Singh, who worked with the Department of Pharmacology and Therapeutics at the erstwhile King George Medical College , Lucknow , also believes that Tulsi can help in containing swine flu.

"Three varieties of Tulsi leaves - Krishna (Ocimum sanctum), Vana (Ocimum gratissimum) and Katuki (Picrorriza kurroa) improve cell mediated immunity. These are anti-viral agents and improve body's resistance against various diseases including swine flu," he said.
Moreover, the practitioners said taking Tulsi is safe as it has no side effects and can be taken along with other medicines.

Hint: Know how to eat well and adding up Growth Hormone would be so helpful!!!