Monday, August 17, 2009

รู้สาเหตุ และ วิธีพิชิตโรคภูมิแพ้

โรคภูมิแพ้ คือโรคที่เกิดจากปฏิกิริยาภูมิไวเกินต่อสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งในคนปกติไม่มีปฏิกิริยานี้เกิดขึ้น ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ มีปฏิกิริยาภูมิไวเกินต่อ ฝุ่น ตัวไรฝุ่น เชื้อราในอากาศ อาหาร ขนสัตว์ เกสรดอกไม้ เป็นต้น สารที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาภูมิไวเกินนี้เรียกว่า 'สารก่อภูมิแพ้' โรคภูมิแพ้ สามารถแบ่งได้ตามอวัยวะที่เกิดโรคได้เป็น
4 โรคคือ
-โรคโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ หรือโรคแพ้อากาศ
-โรคตาอักเสบจากภูมิแพ้
-โรคหอบหืด
-โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง

โรค ภูมิแพ้ จัด เป็นโรคที่พบบ่อยโรคหนึ่งในประเทศไทย จากการศึกษาอัตราความชุกของโรคในประเทศไทย มีอัตราความชุกอยู่ระหว่าง 15-45 % โดยประมาณ โดยพบโรคโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ มีอัตราชุกสูงสุดในกลุ่มโรคภูมิแพ้ นั่นหมายความว่า ประชากรเกือบครึ่งหนึ่งของประเทศ มีปัญหาเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้อยู่

โรคภูมิแพ้ เป็นโรคที่มีการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์
โรค ภูมิแพ้สามารถ ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ คือถ่ายทอดจากพ่อและแม่ มาสู่ลูก เหมือนภาวะอื่นๆ เช่น หัวล้าน ความสูง สีของตา เป็นต้น ในทางตรงกันข้าม แม้ว่าพ่อแม่ของคุณเป็นโรคภูมิแพ้ คุณอาจจะไม่มีอาการใดๆเลยก็ได้

โดย ปกติ ถ้าพ่อหรือแม่ คนใดคนหนึ่งเป็นโรคภูมิแพ้ ลูกจะมีโอกาศเป็นโรคภูมิแพ้ประมาณ 25 % แต่ถ้าทั้งคุณพ่อและคุณแม่เป็นโรคภูมิแพ้ทั้งคู่ ลูกที่เกิดออกมามีโอกาศเป็นโรคภูมิแพ้สูงถึง 66 % โดยเฉพาะ โรคโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ จะมีอัตราการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์สูงที่สุด

ถ้า คุณ ได้รับการถ่ายทอดโรคภูมิแพ้ทางกรรมพันธุ์จากพ่อแม่ของคุณ แต่ไม่เคยสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ คุณก็จะไม่มีอาการของโรคภูมิแพ้ คุณจะต้องได้รับสารก่อภูมิแพ้ ที่สามารถกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาภูมิไวเกินในร่างกายของคุณ การได้รับสารก่อภูมิแพ้ จะต้องได้รับปริมาณมากพอ และนานพอ ที่จะกระตุ้นให้ร่างกายคุณเกิดปฏิกิริยาดังกล่าว จึงทำให้เกิดอาการของโรคภูมิแพ้ขึ้น อาการของคุณจะเป็นมากขึ้น เมื่อภูมิต้านทานลดต่ำลง เช่นในขณะที่คุณเข้าสู่วัยรุ่น การติดเชื้อในบริเวณต่างๆ การตั้งครรภ์ เป็นต้น

เนื่องจากเกิดโรคภูมิแพ้เป็นจำนวนมากจึงได้มีการวิจัยหาสาเหตุของโรคภูมิแพ้

* กรรมพันธุ์ ผู้ที่มีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัว เช่นพ่อแม่ พี่น้อง ก็จะเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าจะเป็นโรคภูมิแพ้ได้ง่าย เด็กชายเป็นมากกว่าเด็กหญิงหากพ่อหรือแม่เป็นโรคภูมิแพ้เด็กจะเป็นภูมิแพ้ ได้ร้อยละ 30 แต่หากทั้งพ่อและแม่เป็นภูมิแพ้เด็กจะมีโอกาศเป็นโรคภูมิแพ้ร้อยละ 50-60
* สิ่งแวดล้อมของเด็กในขวบปีแรกสำคัญมาก การสัมผัสควันบุหรี่ ไรฝุ่น เกสรดอกไม้ สะเก็ดรังแคสัตว์ การใช้ยาปฏิชีวนะ การรับประทานอาหารสำเร็จรูป เหล่านี้จะทำให้เกิดโรคภูมิแพ้
* การติดเชื้อไวรัสในวัยเด็ก การที่มีเชื้อ lactobacillus ในลำไส้หรือการอาศัยใกล้ฟาร์มสัตว์จะลดอุบัติการณ์ของภูมิแพ้

การ หลีกเลี่ยงหรือนำสิ่งที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ออกจากสิ่งแวดล้อมใกล้ตัวเป็นการ รักษาที่สำคัญที่สุดในการรักษาโรคภูมิแพ้ ซึ่งจะทำให้ลดอาการของโรคภูมิแพ้และลดปริมาณการใช้ยา

ทำไมคนในเมืองถึงเป็นโรคภูมิแพ้มากขึ้น

พบว่าปัจจัยที่สำคัญคือการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมจากสังคมชนบทเป็นสังคมเมือง

* คนในเมืองอยู่บ้านมาก ติดเครื่องปรับอากาศ ไม่ออกกำลังกายทำให้ร่างกายอ่อนแอ เกิดการติดเชื้อได้ง่าย
* เด็กกินนมแม่น้อยลง คนรับประธานอาหารจานด่วนมาก ทำให้ได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน และได้รับสิ่งแปลกปลอมเข้ามามาก เช่น สี สารกันบูด
* คนนิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงในบ้านเพิ่ม
* การตกแต่งบ้าน ติดตั้งพรมและติดเครื่องปรับอากาศทำให้อากาศถ่ายเทไม่ดี เชื้อไรฝุ่นเจริญได้ดี
* มลภาวะจากอุตสาหกรรม และการจราจร
* การสูบบุหรี่

สารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ในบ้าน

สาร ก่อโรคภูมิแพ้ในบ้านจะพบได้ตลอดปีและเป็นสาเหตุสำคัญในการเกิดโรค ภูมิแพ้คัดจมูก โรคหอบหืด ผื่นแพ้ eczema สารก่อภูมิแพ้ในบ้านที่สำคัญได้แก่

* ไรฝุ่นพบมากบนที่นอน โซฟา
* สะเก็ดรังแคสัตว์ น้ำลาย และเหงื่อของสัตว์เลี้ยง
* ขนนก ของเสียแมลงสาบ รา

วิธีป้องกันสารก่อภูมิแพ้ในบ้าน

* เปิดหน้าต่างให้เกิดการถ่ายเทของอากาศ โดยเฉพาะห้องครัว ห้องน้ำโดยเปิดหน้าต่างอย่างน้อยครั้งละ 1 ชั่วโมงเปิดวันละสองครั้งหากแพ้เกสรควรปิดหน้าต่างโดยเฉพาะช่วงที่มี เกสรดอกไม้มาก
* ไม่ควรตากผ้าในห้องนอนและห้องนั่งแล่น
* ถ้าห้องมีความชื้นมากให้เปิดให้อาการถ่ายเทให้มาก

พญ.ลลิตา ธีระสิริ แห่งศูนย์ธรรมชาติบำบัดบัลวี ผู้เชี่ยวชาญการบำบัดอาการภูมิแพ้แบบไม่ใช้ยาด้วยการแพทย์ทางเลือก กล่าวถึงสถานการณ์และจำนวนที่เพิ่มขึ้นของผู้ที่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้และการดูแลตัวเองแบบง่ายๆ ที่จะช่วยเยียวยาอาการภูมิแพ้ให้ น้อยลงด้วยตัวเองว่า จากข้อมูลล่าสุดที่เคยมีผู้เก็บสถิติไว้ในปี พ.ศ.2538 พบว่ามีคนไทยที่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้และไปพบแพทย์ทั้งหมด 13 ล้านคน ไม่นับผู้ที่ซื้อยากินเองตามอาการและผู้ที่ทนโดยไม่ไปพบแพทย์และไม่ซื้อยา กินเองซึ่งมีอีกจำนวนไม่น้อย

“ปีที่แล้วโรงพยาบาลศิริราชออกมาให้ข้อมูลว่าจะมีผู้ป่วยเด็กโรคภูมิแพ้มากขึ้นถึงปีละ 60,000 ราย ถามว่าทำไมเราจึงพบเด็กที่ป่วยด้วยโรคภูมิแพ้ตั้งแต่ ยังเด็กๆ คำตอบก็คือ เด็กจะเริ่มเป็นโรคภูมิแพ้หลังจากเลิกกินนมแม่และหันมากินนมวัว รวมถึงอาหารอย่างอื่น ซึ่งเหล่านี้อาจจะมีสารอย่างใดอย่างหนึ่งที่ทำให้แพ้ได้”

พญ.ลลิตา อธิบายอาการของโรคภูมิแพ้ ว่า ผู้ป่วยจะมีอาการคันมากในคอ คันตา และคันผิวหนัง น้ำมูกไหล หายใจไม่ออก ไม่ได้กลิ่น จมูกตัน ปวดหนักศีรษะ ไอ น้ำตาไหล นอนกรน ซึ่งแม้ว่าผู้ป่วยบางรายอาจจะหายไปเองเมื่อโตขึ้น แต่ก็มีประมาณ 30% ที่ไม่หายและต้องทุกข์ทรมานด้วยอาการนี้ไปตลอดชีวิต และที่สำคัญคือ หากเลือกที่จะรักษาโรคนี้ด้วยยาแผนปัจจุบัน ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นยาสเตียรอยด์นั้น ก็จำเป็นจะต้องกินยาไปตลอดชีวิต ซึ่งสารตกค้างและผลข้างเคียงก็อาจจะส่งผลร้ายต่อร่างกายในระยะยาวด้วย

การปฏิบัติตัวเมื่อเป็นโรคภูมิแพ้

* ไม่เลี้ยงสัตว์ที่มีขนไว้ในบ้านโดยเฉพาะในห้องนอน
* ไม่ควรตกแต่งห้องนอนด้วยพรม หรือมีตุกตา มั่นเช็ดฝุ่นบ่อยๆ
* ห้องนอนไม่ควรจะมีชั้น หรือหนังสือ
* เครื่องนอนควรจะซักและต้มสัปดาห์ละครั้ง
* งดบุหรี่ หรือทาสีในบ้าน
* หมั่นทำความสะอาด และดูดฝุ่นบ้านและม่านกันแดด
* กำจัดเศษอาหารให้มิดชิดเพื่อป้องกันแมลงสาบ

ด้วยความปรารถนาดีจาก B-Swan ผู้นำเข้า